เว็บไซต์ ของครู "ใหม่"
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
การใช้อินเตอร์เน็ต บน พรบ.คอมพิวเตอร์
การใช้อินเตอร์เน็ต บน พรบ.คอมพิวเตอร์
พอยุคสมัยเปลี่ยนไปเทคโนโลยีก้าวล้ำ นอกจากปัจจัย 4 ก็ยังมีอินเทอร์เน็ตที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ดั้งนั้นเรามาทำความรู้จักกับกฎหมายที่มีผลโดยตรงต่อการใช้อินเทอร์เน็ตในการรับรู้ข่าวสารและแสดงความคิดเห็นกับกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550”
การออกพระราชบัญญัติฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายหลักๆ ก็คือ หนึ่ง ระบุความผิดและบทลงโทษต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างเช่น คนที่ไม่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามคำสั่งที่กำหนดหรือใช้ในการล่วงรู้ แก้ไขข้อมูลของบุคคลอื่นอย่างพวกแฮคเกอร์และ สอง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชนผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้เราไปละเมิดสิทธิ์ของใครและไม่ให้ใครมาสร้างความเดือดร้อนกับเราได้นั่นเอง ส่วนที่ระบุ 2550 เพราะเป็นปีที่ออกและประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการออกกฎหมายในลักษณะนี้ ทีนี้หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่าการทำความผิดตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.เป็นอย่างไรบ้าง
ความผิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ความผิดโดยระบบ คือ เราทำผิดที่ข้อมูลคอมฯหรือตัวระบบฯ ซึ่งหมายถึงการขโมยข้อมูลและการแฮคระบบ
2. ความผิดต่อเนื้อหา คือ การทำผิดแบบโพสเนื้อหาไปตามสื่อออนไลน์ ซึ่งเนื้อหาที่โพสนั้นมีลักษณะที่เป็นเท็จ, ว่ากล่าวให้ร้ายผู้อื่นทำให้เกิดความเสียหาย เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือ พวกเนื้อหาลามกอนาจาร
ดังที่เราเห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ามีการแฮคเวปไซค์กระทรวงบ้าง หรือ แฮค account ดาราคนดังบ้างแบบนี้เป็นความตั้งใจกระทำความผิด แต่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ คือ ความผิดประเภทที่สองนี่แหละ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น กรณีของเพจดัง “สมรัก พรรคเพื่อเก้ง” ที่ถูกนายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเตรียมฟ้องร้องกรณีนำภาพไปตัดต่อเชิงล้อเลียน เสียดสีทำให้เกิดความเสียหาย รวมถึงอีกหลายกรณีในลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ตโดยเฉพาะเฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือข้อความที่เป็นเท็จ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเรื่องลามก แม้ตัวเราไม่ได้เป็นคนโพสแต่แค่กดไลน์หรือแชร์ข้อมูลต่อก็ถือเป็นความผิด
ส่วนโทษของผู้ทำความผิดประเภทโพสเนื้อหาแชร์ข้อมูลพวกนี้ไปตามสื่อออนไลน์ ก็มีตั้งแต่จำคุกห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ แถมดีไม่ดีบางกรณีผู้ทำความผิดอาจได้คดีอาญาความผิดฐานหมิ่นประมาทเพิ่มมาอีกคดีด้วย
โลกอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่สาธารณะไร้พรมแดนที่เราไม่อาจรู้ได้ว่า ข้อมูลที่เราโพสนั้นจะกระจายไปถึงไหน ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวจริงๆ ของเราบนอินเทอร์เน็ต ฉะนั้นจะโพสหรือแชร์ข้อมูลใดๆ อย่าได้นึกสนุกอย่างเดียวแต่ต้องคิดให้ดีทุกครั้งก่อนโพสด้วย เพราะคดีความไม่ใช่เรื่องตลก ;-)
การออกพระราชบัญญัติฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายหลักๆ ก็คือ หนึ่ง ระบุความผิดและบทลงโทษต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างเช่น คนที่ไม่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามคำสั่งที่กำหนดหรือใช้ในการล่วงรู้ แก้ไขข้อมูลของบุคคลอื่นอย่างพวกแฮคเกอร์และ สอง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชนผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้เราไปละเมิดสิทธิ์ของใครและไม่ให้ใครมาสร้างความเดือดร้อนกับเราได้นั่นเอง ส่วนที่ระบุ 2550 เพราะเป็นปีที่ออกและประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการออกกฎหมายในลักษณะนี้ ทีนี้หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่าการทำความผิดตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.เป็นอย่างไรบ้าง
ความผิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ความผิดโดยระบบ คือ เราทำผิดที่ข้อมูลคอมฯหรือตัวระบบฯ ซึ่งหมายถึงการขโมยข้อมูลและการแฮคระบบ
2. ความผิดต่อเนื้อหา คือ การทำผิดแบบโพสเนื้อหาไปตามสื่อออนไลน์ ซึ่งเนื้อหาที่โพสนั้นมีลักษณะที่เป็นเท็จ, ว่ากล่าวให้ร้ายผู้อื่นทำให้เกิดความเสียหาย เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือ พวกเนื้อหาลามกอนาจาร
ดังที่เราเห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ามีการแฮคเวปไซค์กระทรวงบ้าง หรือ แฮค account ดาราคนดังบ้างแบบนี้เป็นความตั้งใจกระทำความผิด แต่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ คือ ความผิดประเภทที่สองนี่แหละ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น กรณีของเพจดัง “สมรัก พรรคเพื่อเก้ง” ที่ถูกนายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเตรียมฟ้องร้องกรณีนำภาพไปตัดต่อเชิงล้อเลียน เสียดสีทำให้เกิดความเสียหาย รวมถึงอีกหลายกรณีในลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ตโดยเฉพาะเฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือข้อความที่เป็นเท็จ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเรื่องลามก แม้ตัวเราไม่ได้เป็นคนโพสแต่แค่กดไลน์หรือแชร์ข้อมูลต่อก็ถือเป็นความผิด
ส่วนโทษของผู้ทำความผิดประเภทโพสเนื้อหาแชร์ข้อมูลพวกนี้ไปตามสื่อออนไลน์ ก็มีตั้งแต่จำคุกห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ แถมดีไม่ดีบางกรณีผู้ทำความผิดอาจได้คดีอาญาความผิดฐานหมิ่นประมาทเพิ่มมาอีกคดีด้วย
โลกอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่สาธารณะไร้พรมแดนที่เราไม่อาจรู้ได้ว่า ข้อมูลที่เราโพสนั้นจะกระจายไปถึงไหน ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวจริงๆ ของเราบนอินเทอร์เน็ต ฉะนั้นจะโพสหรือแชร์ข้อมูลใดๆ อย่าได้นึกสนุกอย่างเดียวแต่ต้องคิดให้ดีทุกครั้งก่อนโพสด้วย เพราะคดีความไม่ใช่เรื่องตลก ;-)
บทความ/รูปภาพโดย : Mindterra News
ร่วมนำเสนอโดย : PrThai.com, ThaiBizCenter.com และ PaPang.com
ร่วมนำเสนอโดย : PrThai.com, ThaiBizCenter.com และ PaPang.com
องค์ประกอบของเทคโนโลยีโทรคมนาคม
องค์ประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีโทรคมนาคม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบที่สำคัญ
เป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่งต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง
ตัวอย่างในระบบโทรศัพท์ หรือระบบวิทยุกระจายเสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดที่ต้นทาง ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือในกรณีระบบการสื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนนี้อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal ประเภทต่าง ๆ
ทำหน้าที่ในการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารจากต้นกำเนิดข่าวสารให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยังปลายทางเช่นระบบโทรศัพท์ ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนเสียงพูด ให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมและส่งต่อไปยังปลายทางสำหรับในระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากคอมพิวเตอร์เพื่อให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการผ่านระบบสื่อสัญญาณไปยังปลายทาง
เครื่องส่งได้เปลี่ยน หรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับที่ปลายทางดังนั้นระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับเป็นส่วนที่สำคัญและจำเป็นมากในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม
เครื่องรับสัญญาณ เป็นส่วนที่ทำการเปลี่ยนสัญญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูกส่งผ่านระบบการส่งผ่านสัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารที่ถูกส่งมาจากต้นทาง ทั้งนี้เพื่อส่งให้อุปกรณ์ปลายทางทำการแปลง หรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้านั้น ให้กลับมาเป็นข่าวสารที่ผู้รับสามารถเข้าใจความหมายได้สำหรับระบบการสื่อสารข้อมูลส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ข้อมูลในรูปแบบที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นอุปกรณ์บางชนิด เช่น MODEM อาจเป็นได้ทั้งอุปกรณ์ในการส่ง และรับสัญญาณ ในอุปกรณ์ชนิดเดียวกัน
ผู้รับสัญญาณ เป็นส่วนสุดท้ายในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารที่ส่งมาจากต้นกำเนิดข่าวสาร
ดังนั้นอุปกรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ อาจเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกันก็ได้ เช่นคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
- ต้นกำเนิดข่าวสาร (Source of Information)
เป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่งต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง
ตัวอย่างในระบบโทรศัพท์ หรือระบบวิทยุกระจายเสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดที่ต้นทาง ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือในกรณีระบบการสื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนนี้อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal ประเภทต่าง ๆ
- เครื่องส่งสัญญาณ (Transmitter)
ทำหน้าที่ในการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารจากต้นกำเนิดข่าวสารให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยังปลายทางเช่นระบบโทรศัพท์ ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนเสียงพูด ให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมและส่งต่อไปยังปลายทางสำหรับในระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากคอมพิวเตอร์เพื่อให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการผ่านระบบสื่อสัญญาณไปยังปลายทาง
- ระบบการส่งผ่านสัญญาณ (Transmission System)
เครื่องส่งได้เปลี่ยน หรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับที่ปลายทางดังนั้นระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับเป็นส่วนที่สำคัญและจำเป็นมากในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม
- เครื่องรับสัญญาณ (Receiver)
เครื่องรับสัญญาณ เป็นส่วนที่ทำการเปลี่ยนสัญญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูกส่งผ่านระบบการส่งผ่านสัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารที่ถูกส่งมาจากต้นทาง ทั้งนี้เพื่อส่งให้อุปกรณ์ปลายทางทำการแปลง หรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้านั้น ให้กลับมาเป็นข่าวสารที่ผู้รับสามารถเข้าใจความหมายได้สำหรับระบบการสื่อสารข้อมูลส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ข้อมูลในรูปแบบที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นอุปกรณ์บางชนิด เช่น MODEM อาจเป็นได้ทั้งอุปกรณ์ในการส่ง และรับสัญญาณ ในอุปกรณ์ชนิดเดียวกัน
- ผู้รับสัญญาณ (Destination)
ผู้รับสัญญาณ เป็นส่วนสุดท้ายในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารที่ส่งมาจากต้นกำเนิดข่าวสาร
ดังนั้นอุปกรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ อาจเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกันก็ได้ เช่นคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560
คำนำ
เว็บไชต์นี้เขียนขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการอบรมมาตราฐานวิชาชีพครู มาตรฐานความรู้วิชาชีพครูของครุสภา หลักสูตรที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)